ดูหนังกู๋หว่าไจ๋ ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังคุณภาพ HD

ดูหนังกู๋หว่าไจ๋ การต่อสู้ระหว่างกลุ่ม, ชิงไหวชิงพริบหักเหลี่ยมเชือดคม, การตายของนักแสดงหลัก, แนะนำตัวละครใหม่, ต่อยตีต่อสู้, เรื่องความรัก และก็เพลงป๊อปกวางตุ้ง เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของ “สูตร” ประจำหนังชุด “กู๋หว่าไจ๋” ที่แม้ว่าจะมองซ้ำจากจำเจแต่ว่าก็ได้ผล หลักฐานก็คือหนังภาคต่อเรื่องราวของ “ห้าวครึ้มน” และก็พรรคพวกที่มีให้มองกันตลอดอีกถึง 5 ภาค

ดูหนังกู๋หว่าไจ๋ คนทำหนังประเทศฮ่องกงท่านหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า ก่อนจะถึงปี 1997

ที่ประเทศฮ่องกงจะคืนสู่การปกครองของจีนนั้น ทุกคนดูเหมือนจะบากบั่นดำเนินงานให้หนักที่สุด เพื่อหารายได้เป็นทุนสำหรับความไม่เที่ยงที่จะเกิดขึ้น สำหรับแวดวงหนังก็สะท้อนออกมาในด้านของการสร้างผลงานออกมาอย่างเร็ว จำนวนมากเป็นหนังชนิดฟาดศีรษะเข้าบ้าน, ทำง่ายมองง่าย แน่ๆว่าคุณประโยชน์ทางศิลป์ทางภาพยนตร์บางครั้งอาจจะน้อยไปบ้าง “กู๋หว่าไจ๋” ก็อาจจะเป็นงานที่อยู่ในข่ายที่ว่านี้เช่นกัน ดูหนังกู๋หว่าไจ๋

จากภาคแรกที่ออกฉายในปี 1995 แล้วก็บรรลุผลสำเร็จทำเงินได้ราว 20 ล้านเหรียญประเทศฮ่องกง ผู้ผลิตก็เลยเข็นภาคต่อตามออกมาทันทีทันใด ซึ่งก็ไม่ใช่เพียงแค่ภาคสองภาคเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นคณะทำงานบ้าพลังยังสามารถเข็นหนังออกมาให้มองกันอีกถึง 4 ภาคใน 3 ปี ระหว่าง 1996 – 1998 ก่อนที่จะพักไปในปี 1999 เมื่อถึง 2000 ก็เลยถึงเวลาของภาค 6 ที่เป็นการสิ้นสุดหนังชุดนี้ ที่ถือได้ว่า “เครื่องหมายที่สมัยท้ายที่สุดของหนังประเทศฮ่องกงสมัย 90s”

กู๋หว่าไจ๋ ภาคสองออกฉายในเวลาแค่ปีเดียวจากการบรรลุผลของภาคแรก

หนังถ่ายทำอย่างเร็ว เพื่อเข้าฉายกอบโกยการบรรลุเป้าหมายของกระแสภาคแรกให้เร็วที่สุด ผลออกมาก็คือ ความเร่งรีบสำหรับเพื่อการถ่ายทำ ที่ชี้ให้เห็นในงานสร้างที่ไม่ค่อยจะเริ่ดเสมือนภาคแรก ไม่ค่อยมีงานภาพงามๆให้มองเห็นกันเท่าไร แม้กระนั้นยังไงหนังก็ยังไกลห่างกับคำว่า สุกเอาเผากัน อย่างต่ำคณะทำงานหนังประเทศฮ่องกงก็ถนัดอยู่แล้วกับการทำงานจานด่วนอย่างงี้ ดูหนังกู๋หว่าไจ๋

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนบท รวมทั้งผู้กำกับตกลงใจครั้งสำคัญในหนังภาคนี้ก็คือ การมอบบทเด่นให้กับผู้แสดง “ไก่ป่า” ที่ใครๆก็ต้องใจในหนังภาคแรก จนถึงแทบเปลี่ยนเป็นผู้แสดงนำชายของเรื่องอีกคน

ยังมีการแนะนำตัวละครใหม่ๆอีกปริมาณหนึ่ง แต่ว่าที่เด่นที่สุดก็น่าจะเป็นคนใดไปมิได้นอกเหนือจาก “ต้าเฟย” ที่ หวงซิวเซิง ลักขโมยซีนได้ด้วยท่าทางการแสดงอันพราวแพรวกับการใส่หน้าที่นักแสดงอันธพาล “ซกม๊ก” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ตรงการถูกใจแคะขี้มูก ท่าทางก็โผงผาง, ปากไว, ใจร้อน ราวกับจะ “กาก” แต่ว่าก็หรูกระทั่งแปลงเป็นขวัญใจของผู้ชมอีกคน

ภาค 3: “หงซิ่ง” vs “ตงซิ่ง”

ระหว่างเดินทางไปฮอลแลนด์ เฉินห้าวครึ้มน เปลี่ยนเป็นแพะรับบาป ถูกใส่ร้ายจากเหตุที่ศีรษะหน้าของ “หงซิ่ง” ถูกลอบฆ่า จากมือดีของกลุ่มคู่กรณี เขาถูกตามล่าสังหารอย่างไร้ความปราณี จำเป็นต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง สูญเสียกระทั่งแฟนสาวที่รัก ถูกบีบบังคับทุกทาง แทบไม่มีทางออก

“กู๋หว่าไจ๋ 3 ใหญ่ครองบ้านครองเมือง” เป็นภาคที่มีการเสนอแนะกลุ่มศัตรูเสี้ยนหนามของ หงซิ่ง ที่มีชื่อว่า “ตงสิง” ซึ่งจะมีหน้าที่ในหนังชุดนี้ไปอีกยาว

ตงซิ่ง เป็นกรุ๊ปอิทธิพล ที่มี “ทางปิงหยง”

อันธพาลหัวโบราณเป็นลูกพี่ใหญ่ แม้นักเลงรุ่นใหญ่คนนี้จะมิได้มีอะไรแตกแยกกับ คุณเจียง หรือ หงซิ่ง แม้กระนั้นลูกน้องคู่ใจมือซ้าย,ขวากลับไม่คิดแบบนั้น รวมทั้งกำลังคิดแผนลับๆเพื่อนำ ตงสิง เปิดศึกชนกับ หงซิ่ง ที่จะก่อให้เกิดการสิ้นไปมากไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้าวครึ้มน ที่จำต้องสูญเสียคู่รักไปอย่างน่าสงสาร

กู๋หว่าไจ๋ 3 กลับเข้าโรงในปีเดียวกับภาค 2 นั่นเอง

แต่งานสร้างและก็การถ่ายทำจัดว่าเหนือกว่ากันอยู่ก้าวนึง แต่ว่าที่สำคัญกว่าก็คือ หนังภาคนี้ยังเพิ่มอารมณ์อันร้ายแรงกราดเกรี้ยวขึ้นไป กับเรื่องราวที่การสิ้นไป, ความตายของผู้แสดงสำคัญ รวมทั้งความโหดร้ายที่มากขึ้นอย่างมาอย่างชัดเจน ผู้แสดงอันธพาลชายหนุ่มก็เติบโตขึ้น เจอกับบททดลองของชีวิตอันเอาจริงเอาจังเอาจริงเอาจังกว่าเดิม

ฉากจบการต่อสู้เปลี่ยนฝนในงานฌาปนกิจศพของ หัวหน้ากลุ่ม ตงซิ่ง ก็มองคลั่งมากมาย รวมทั้งฉากลอบฆ่าหัวหน้าหงซิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ให้ผู้ชมตั้งตัว, การไล่ล่าตอนกึ่งกลางเรื่อง ในย่านที่อยู่อาศัยของประเทศฮ่องกงที่รุนแรงเหมือนกัน นับว่าเป็นภาคที่ “บู๊” กันสนุกที่สุดก็ว่าได้

ข้างหลังการบรรลุผลของหนัง 2 ภาคแรก ผู้กำกับ แอนดรู เลา และก็ แมนเฟรด หว่อง ที่รับหน้าที่เขียนบท แสดงออกถึงความทะยานอยากสูงที่สุดในหนังภาคนี้ ถึงแม้หนังจะดำเนินไปด้วยแบบเดิมๆเป็นความรื่นเริงจำพวกครบรส ผสมอีกทั้งเรื่องหักเหลี่ยมเชือดคม, มีบทรักโรแมนติก รวมทั้งการบีบคั้นอารมณ์ แต่ว่า กู๋หว่าไจ๋ 3 ก็ได้ชื่อว่าสามารถดีเด่นได้ด้วยกรอบเดิมๆถึงขั้นที่มีการกล่าวยกย่องเชิดชูว่า หนังภาค 3 ก็คือ กู๋หว่าไจ๋ ที่เข้มข้นที่สุด, เคร่งเคลียดที่สุด รวมทั้งเยี่ยมที่สุด ใน “ภาคหลัก” ของเรื่องราวอันธพาลชายหนุ่มที่ “หงซิ่ง” ชุดนี้

ภาค 5: เศรษฐกิจเป็นสะเก็ด

กำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับหนังภาค 5 “กู๋หว่าไจ๋ ฟัดใหญ่เมืองตกตะลึง” เมื่อไม่มีหน้าที่ของ ไก่ป่า ในภาคนี้ แม้กระนั้นในด้านเรื่องราวก็ยังคงวนเวียนอยู่กับศัตรูตัวใหม่ๆเหตุการณ์ใหม่ๆที่ความเพลิดเพลินเริ่มต่ำลง แล้วก็ภาพรวมของหนังดูเหมือนจะเข้าเกณฑ์ “ตัน” เสียแล้ว ดูหนังกู๋หว่าไจ๋

ในภาคนี้เรื่องราวได้ยกฐานะจากการรบอันธพาล การต่อยตีของหนุ่มน้อยวัยรุ่น มาเป็นความไม่ตรงกันของรุ่นใหญ่ การต่อสู้แย่งอำนาจที่ดูกรวกับเป็นการต่อสู้ทางด้านการเมือง ห้าวดกน จะต้องพบมือดีจากตงซิ่งคนใหม่ “ซือเช็ดห้าวดกน” คนชื่อเดียวกับเขา ที่ขอท้าอำนาจเหนือเขตถงหลอวาน ด้วยการจัดชิงชัยมวยพนันขึ้นมา

กู๋หว่าไจ๋ ชอบถูกดูหมิ่นว่ามิได้ให้อะไรกับผู้ชม

มากยิ่งกว่าการฉายภาพหยาบของนักแสดงอันธพาลวัยรุ่นชายหนุ่มหล่อแต่งตัวดีมีรสนิยม, ทำผมเท่ห์ มีสาวสวยๆอยู่รายล้อม แต่ว่าตลอดทั้ง 5 ภาคหนังก็แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้แสดงเพื่อฉายให้มองเห็นถึงความจริงบางข้อได้อยู่แบบเดียวกัน

จากกุ้ยข้างทางที่เอาชนะด้วย หมัด, มีด หรือปืน ไปสู่โลกที่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ความไม่ลงรอยกันมีอะไรสลับซับซ้อนมากยิ่งกว่านั้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในสมัยที่ทรัพย์สินเริ่มหายาก เหล่าอันธพาลจำต้องดิ้นรน ไปสู่วิถีทางใหม่ พากเพียรลงทุนในธุรกิจ แม้กระนั้นในที่สุดการต่อสู้ในสนามที่ไม่ชำนิชำนาญ ก็ยิ่งมีแต่ว่าจะเสียเปรียบ งานนี้ ห้าวครึ้มน รวมทั้งพวกแทบเอาตัวไม่รอดเพราะเหตุว่าโดนต้มซะสุก เหมือนกับเพื่อนพ้องจาก หงซิ่งหลายคนที่จะต้องห่วยแตกด้วยเหตุว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เงินขาดมือ เหตุการณ์เลวกว่าตอนโดนคู่กรณีวิ่งถือมีดเข้าใส่เสียอีก

แม้ว่าจะมิได้พรีเซ็นท์อะไรที่ลึกซึ้งมากมายก่ายกอง แม้กระนั้นหนังก็สะท้อนความจริงบางสิ่งออกมาได้

โดยยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศของประเทศฮ่องกงข้างหลังคืนสู่การปกครองของจีน ความไม่มั่นใจกับระบอบการปกครองใหม่ แม้กระนั้นถ้าเกิดจะนับความสนุกสนานร่าเริง, ความลื่นไถลไหลมองมันแล้ว ก็ถือได้ว่ารองภาคอื่นๆ

จริงๆแล้ว หนังภาค 4 รวมทั้ง 5 ก็มิได้ตกอับอะไร แต่ว่าชอบถูกเอ๋ยถึงในฐานะตอนต่อที่เริ่มไม่ค่อยน่าจำแล้ว ส่วนหนึ่งส่วนใดก็บางทีอาจเพราะเหตุว่ารายละเอียดของหนัง แม้ว่าจะมีอะไรใหม่ๆให้มองเห็นกันอยู่บ้าง แต่ว่าภาพรวมบรรยากาศการเล่าเรื่อง ก็มิได้ใหม่พอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ในที่สุดรายได้ก็เริ่มลงลด รวมทั้งปีต่อๆไปก็มิได้มี “กู๋หว่าไจ๋” มาให้มองกันปีต่อปีอีกต่อไป เว็บรวมเหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆ

ภาค 6: การกลับมาของ “กู๋หว่าไจ๋”

ข้างหลังได้รับการบรรลุเป้าหมายมากมายก่ายกองตั้งแต่ภาคแรกออกฉายเมื่อปี 1995 กู๋หว่าไจ๋ จำเป็นต้องพักในปี 1999 ที่ไม่มีหนังชุดนี้มาให้มองกัน แม้กระนั้นยังมีภาคยิบย่อยจำพวกเรื่องราวต่อยอดของนักแสดงหลักอื่นๆจนถึงไปถึงภาคก่อนหน้าที่เอ่ยถึงชีวิตในตอนวัยรุ่นของนักแสดงมาให้มองกันอีกหลายภาค ดูหนังกู๋หว่าไจ๋

กระทั่งในปี 2000 แอนดรูว์ เลา ได้เก็บรวบรวมดาราหนังกลุ่มเดิม กลับมาร่วมกลุ่มกันอีกรอบ กับหนังที่นับได้ว่าเป็น “ภาคหลัก” ภาคสุดท้ายที่ใช้ชื่อว่า Born To Be King หรือ กู๋หว่าไจ๋ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเจ้าพ่อ

ไก่ป่า ถูกทางกลุ่มซานหลัวที่ไต้หวันที่เขาขึ้นตรงต่ออยู่

ส่งตัวให้ไปสมรสกับ นานาโกะ บุตรสาวของหัวหน้ากลุ่มยากูซ่าใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น และก็แปลงเป็นกุญแจที่การขัดกันในกลุ่ม ซานหลัว เมื่อเขาและก็ลูกชายของหัวหน้าคนก่อน แปลงเป็นคู่ปรปักษ์แย่งตำแหน่งหัวหน้าคนถัดไป ถึงแม้ส่วนตัวแล้วไก่ป่าจะไม่ต้องการได้ตำแหน่งที่ว่านี่เลย

ท้ายที่สุดเขากลับโดนให้ร้าย ว่าแอบแผนสูงลอบฆ่าผู้ใหญ่ของกลุ่มที่ขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้า กระทั่ง ห้าวครึ้มน ที่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นประธานที่ “หงซิ่ง” แทน คุณเจียง จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

Born To Be King ที่นับได้ว่าเป็นภาคสุดท้ายในชุด “กู๋หว่าไจ๋”

นำความเพลิดเพลินแบบเดิมๆกลับมาอีกรอบ พร้อมงานสร้างที่ใหญ่มโหฬารขึ้น มีการไปถ่ายทำถึงญี่ปุ่น ศิลปินเก่าๆก็กลับมาพร้อมหน้า ที่หายไปก็มีเพียงแค่ ต้าเฟย เพียงแค่นั้น แม้กระทั้งชายหนุ่มๆที่แสดงเป็นเพื่อนของห้าวดกน ซึ่งผู้แสดงที่แสดงตายกันไปแล้ว ก็ยังได้ได้โอกาสกลับมาใหม่กับบทใหม่ ยกตัวอย่างเช่นเดียวศิลปินดาวร้าย เจิ้งเย้าหยาง ที่เคยเป็นตัวคดโกงในหนังภาค 2 และก็ 3 ก็กลับมากับบทใหม่ เรียกว่าตายกันสามรอบอย่างยิ่งจริงๆกับศิลปินคนนี้ในหนังชุด กู๋หว่าไจ๋

ภาคสุดท้ายของ กู๋หวาไจ๋ ยังมีตัวละครน่าดึงดูด เรื่องราวก็ยังผูกกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ดังเดิม ที่ครั้งนี้เล่นเรื่องการลงคะแนนเสียงหัวหน้าใหม่ของไต้หวัน หากแม้ภาพรวมก็จะมิได้มีอะไรพิเศษนัก แม้กระนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการจบที่มิได้ทรามเหลือเกินนัก อย่างต่ำก็ยังมองบันเทิงใจกว่า 2 ภาคก่อนหน้าที่ผ่านมา ด้วยการผลิตภาคต่อออกมาล้นหลามในช่วงเวลาไม่กี่ปี กู๋หว่าไจ๋

ไม่ใช่งานที่พิถีพิถันนัก มีการใช้ผู้แสดงเวียนกันหลายรอบ อย่าง เจิ้งเย้าหยาง เล่นเป็นตัวคดโกง (ที่มิได้เป็นลูกพี่ลูกน้องแฝดกันอะไร) ในหนังถึง 3 ภาค หรือ “พี่บี” อู๋จื่อสง ที่ผู้แสดงของเขาตายไปตั้งแต่ภาคแรก ก็ยังได้โผล่เข้ามาแจมในหนังภาค 3 ที่โอกาสนี้แปรไปเป็นตัวคดโกงดูบ้าง

อีกทั้ง 6 ภาคหลักของ กู๋หว่าไจ๋ มีนิดหน่อยที่เป็นสูตรซ้ำซากจำเจ รายละเอียดการบีบคั้นผู้แสดงก็แทบเข้าขั้น “น้ำเสีย” อยู่รอมร่อ แม้กระนั้นในขณะเดียวกันหนังแต่ละภาคก็ยังมีคุณลักษณะเด่น มีไม่เหมือนกันให้มองเห็นกันอยู่เสมอ มองดูเป็นภาคๆบางครั้งอาจจะไม่ใช่งานที่เด่นอะไรนัก แต่ว่าเมื่อพิจารณาถึง 6 ภาครวมกันและจากนั้นก็จะต้องเห็นด้วยว่าเป็นหนังชุดที่ยิ่งใหญ่พอได้